โรคบ้านหมุน(Vertigo)

  

โรคบ้านหมุนเป็นโรคใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ40ปีขึ้นบางคนจะมีอาการเวียนศีรษะ, โคลงเคลง, ลุกไม่ไหว ซึ่งบางครั้งก็เป็นมากจนต้องนำส่งโรงพยาบาลเลยทีเดียว โดยคำวินิจฉัยส่วนใหญ่ของแพทย์มักระบุว่า

เกิดจากอาการเลือดๆไปเลี้ยงสมองไม่พอ น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ มีตะกอนในหูชั้นใน... ทำให้มีคำถามตามมาอีกว่า อาการเหล่านี้เกิดจากอะไร มีผลกระทบร้ายแรงหรือไม่.. และสามารถจะหายขาดได้หรือเปล่า หรือจะให้เป็นเช่นนี้ไปตลอด... ผมเองเคยเป็นโรคนี้เช่นกัน มันสุดทรมาน..

1. จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นอาการบ้านหมุน ?

ถ้าอาการเพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ผู้ป่วยมักจะแยกไม่ออก ให้ลองสังเกตดูว่า อาการที่เกิดขึ้นนั้น มีลักษณะอย่างไร

1.1 โคลงเคลง เดินเซหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่ามีปัญหาที่ระบบควบคุมการทรงตัว ได้แก่ หูชั้นในหรือระบบประสาทส่วนกลางบริเวณก้านสมอง ทั้งสองอย่างนี้ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนได้(Vertigo)

1.2 ส่วนอาการมึน ๆ (Dizziness) คล้ายนอนไม่พอ มีสาเหตุมากมายด้วยกัน ตั้งแต่เครียด พักผ่อนไม่พอ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด 

1.3 อาการสุดท้ายที่ต้องแยกคือ อาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม (Pre-syncope)  มีสาเหตุจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ พบมากในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตต่ำ ขาดการออกกำลังกาย ขาดสารอาหารทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร 

.........สรุปว่าในขั้นแรกต้องใจเย็นๆ ตรวจเช็คอาการให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นอาการบ้านหมุน หน้ามืด หรือ แค่มึนๆ เพราะสาเหตุต่างๆ ดังกล่าว......

2. ถ้าเป็นบ้านหมุนแล้วเกิดจากอะไรได้บ้าง ?

อาการบ้านหมุนส่วนใหญ่ มักเกิดจากปัญหาที่ หูชั้นใน ได้แก่ มีตะกอนในหูชั้นใน น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือติดเชื้อไวรัส เป็นต้น ส่วนน้อยพบว่า มีปัญหาจากก้านสมอง ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ลิ้นแข็ง แขนขาอ่อนแรง เห็นภาพซ้อน ถ้าเป็นทันทีให้คิดถึงอาการเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงในเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสูบบุหรี่จัด (ถ้ามีอาการบ้านหมุนร่วมกับอาการทางระบบประสาท ควรมาพบแพทย์โดยเร็ว เพราะหากเกิดจากสมองขาดเลือด อาการอาจเป็นมากขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง)

3. โรคที่กล่าวมา มีอาการแตกต่างกันอย่างไร ?

โรคหูชั้นใน มักจะมีอาการเวียนศีรษะมาก บางครั้งมีหูอื้อหรือภาวะการณ์ได้ยินลดลง จนถึงหูดับไม่ได้ยินอะไรเลย....แต่จะไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรงแบบอัมพฤกษ์ ปากเบี้ยว หรือไม่มีอาการทางระบบประสาท สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

(1.) โรคตะกอนในหูชั้นใน(BPPV)
มีตะกอนหินปูนเกิดขึ้นภายในท่อระดับน้ำ3ท่อนั้น ท่อใดท่อหนึ่ง หรือทั้งสอง หรือทั้งสามท่อ
ผู้ป่วยมักมีอาการเวียนศีรษะในท่าต่างๆ เช่น บ้านหมุนจะเป็นขึ้นทันทีเวลาจะนอน เงยหน้า หยิบของบนชั้น หรือสระผมที่ร้านเสริมสวย ในขณะที่เป็นจะรู้สึกรอบๆ ตัวหมุนไปหมด คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ต้องนอนนิ่งๆ ซักพักถึงจะดีขึ้น แต่ถ้าขยับศีรษะก็จะมีอาการบ้านหมุนขึ้นมาใหม่ เป็นๆหายๆ เป็นนาที เป็นวันหรือสัปดาห์ ศัพท์แพทย์ที่ใชเรียกชื่อ เรียกตามลักษณะของโรคโดยตรง คือ Benign Paroxysmal Positional Vertigo (BPPV) หรือโรคเวียนศีรษะเวลาเปลี่ยนท่า

โรคนี้สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัดแต่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เคยได้รับอุบัติเหตุทางศีรษะมาก่อน เคยติดเชื้อในหูชั้นใน และที่สำคัญเมื่อเข้าสู่วัยชรา คือมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

ในหูชั้นในประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ 
1.
อวัยวะรูปก้นหอย (cochlea) มีหน้าที่รับการได้ยิน 
2.
อวัยวะรูปครึ่งวงกลม (semicircular canal)
เชื่อมต่อกันสามชิ้น มีหน้าที่วัดระดับสถานะของร่างกายส่งสันญาณไปที่สมอง เพื่อควบคุมการทรงตัว

ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีการตกตะกอนของสารที่อยู่ข้างใน หรือมีหินปูนหลุดจากอวัยวะข้างเคียงเข้ามาอยู่ในส่วนครึ่งวงกลมดังกล่าว ทำให้เวลาที่ผู้ป่วยขยับศีรษะเกิดการสั่นของตะกอนในหูข้างที่มีปัญหา สัณญานที่ส่งจากหูทั้งสองข้างไปยังสมองส่วนกลางจึงไม่เท่ากันทำให้เกิดความรู้สึกบ้านหมุนขึ้นมา......โดยทั่วไปอาการเวียนศีรษะในครั้งแรกๆจะรุนแรง ต่อมาจะค่อยๆ ลดความรุนแรงลง อาการบ้านหมุนสามารถเป็นได้หลายๆ ครั้งต่อวัน จากนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นอาจจะนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ในบางรายอาการจะกลับเป็นซ้ำได้อีกในเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี ที่น่าสังเกตุ คือ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการหูอื้อ ไม่มีเสียงผิดปกติ หรือหูไม่ได้ยิน และไม่พบอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวตลอดเวลา ไม่มีอาการหมดสติ

การรักษาโรคตะกอนในหูชั้นใน

การทำกายภาพบำบัด (Vestibular exercise) ในปัจจุบันเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับและได้ผลดีมาก แบ่งได้ 2 วิธี
วิธีแรก 
ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเวียนศีรษะเท่านั้น ซึ่งจะต้องประเมินก่อนว่า ผู้ป่วยมีข้อห้ามในการทำด้วยวิธีดังกล่าวหรือไม่ เช่น มีหมอนรองกระดูกคอเสื่อม เส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบ (Carotidartery Stenosis) หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบชนิดไม่คงที่ (Unstable Angina) โดยแพทย์จะหมุนศีรษะผู้ป่วย เพื่อให้ตะกอนเคลื่อนที่ออกมาจากอวัยวะรูปครึ่งวงกลมที่คุมเรื่องการทรงตัว วิธีนี้ ได้ผลประมาณ 50-70% หลังจากทำครั้งแรก หากทำซ้ำอีกจะได้ผลถึง 90% ทีเดียว

วิธีที่สอง 
ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำที่บ้านเองได้ ด้วยการทำซ้ำๆ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น โดยให้ผู้ป่วยนั่งข้างเตียง  หันศรีษะ45องศา ไปด้านตรงข้ามกับที่จะล้มตัว แล้วล้มตัวด้านข้างจนหูแนบที่นอน  ถ้ามีอาการบ้านหมุนเกิดขึ้นให้ค้างในท่านั้นจนกว่าจะดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกิน 1-5 นาที แล้วลุกนั่งเพื่อล้มไปยังตรงด้านข้างใหม่
อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดนั่งท่าตรง โดยแข็งศรีษะไว้ไม่หันไปไหน ควรทำซ้ำๆ อย่างน้อย 5-10 ครั้ง เช้า-เย็น จนสมองสามารถปรับตัวได้อาการจะดีขึ้นในหนึ่งสัปดาห์ 
หากไม่หายยังคงเป็นอยู่ แนะนำให้ใช้สมุนไพร ชุดบ้านหมุน ๑๐๑ ของหมอสิงห์ ปฏิบัติตนและทานอาหารตามคำแนะนำของหมอ  ชุดสมุนไพร คลิ๊กเลยครับ

(2.) โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) 

ป็นโรคที่คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินชื่อมาก่อน บางคนก็เข้าใจผิดคิด ว่า เกิดจากมีน้ำเข้าไปในหู ซึ่งในหูชั้นในของเรา ประกอบด้วยท่อครึ่งวงกลม เชื่อมต่อกับส่วนที่รับฟังรูปก้นหอย ดังที่อธิบายมาข้างต้นแล้ว และในท่อดังกล่าว มีของเหลวบรรจุอยู่ภายใน คล้ายกับสายยางเช็คระดับคสวามสูงของช่างก่อกำแพงที่จะก่อ ให้สูงสม่ำเสมอเท่าๆกัน แต่ในหูชั้นในเราน้นวิเศษกว่า มันมีท่อชนิดนี้ถึงสามท่อ ไว้วัดได้ถึง การก้มหน้า เงยหน้า พลืกตัว หรือหมุนตัว ได้สามมิติ!!!!!!!!
สาเหตุของโรคนี้จริงๆ แล้วยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจาก ความดันของของเหลวดังกล่าวเพิ่มขึ้น (Endolymphatic hydrops) เป็นครั้งคราวส่งผลให้การส่งสัญญาณจากหูทั้งสองข้างไม่เท่ากันจึงมีอาการบ้านหมุนเกิดขึ้น

ประเด็นที่ผู้ป่วยมักจะสงสัยกันบ่อย ........

......อาการแบบไหนถึงจะเป็นอาการจากน้ำในหูไม่เท่ากัน และต่างจาก.......ตะกอนในหูอย่างไร?.........
อาการเริ่มต้นมักจะมีหูอื้อ หรือมีเสียงวิ้งๆ ในหูนำมาก่อน หูอาจบอดไม่ได้ยินเสียงจากภายนอก ที่สำคัญรู้สึกมีความดันตื้อๆในหู  และบางครั้งได้ยิน เสียงในหู(Tinitus)  เป็นที่หูข้างหนึ่ง  หรือสองข้างพร้อมกันก็ได้  จากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการบ้านหมุน ซึ่งจะรุนแรงและนานเป็นชั่วโมงหรืออาจเป็นวันได้ โดยต่างจากภาวะตะกอนในหู ที่จะเป็นช่วงสั้นๆ  โรคน้ำในหูไม่เท่ากันนี้  คล้ายเดินอยู่บนเรือ โคลงเคลง ตลอดเวลา  อาเจียน  คลื่นไส้ หลังจากอาเจึยนแล้วนั้นอาการดีขึ้น จะเพลียมากต้องนอนพักเป็นวัน

• พบบ่อยแค่ไหน ทำไมเวลาบ้านหมุนทีไร หมอก็บอกว่าเป็นโรคนี้ทุกครั้ง?..............
จริงๆ แล้วโรคนี้พบได้ไม่บ่อยเท่ากับโรคตะกอนในหู และพบในผู้ป่วยที่อายุเริ่มเป็นน้อยกว่า รวมถึงมักจะมีประวัติครอบครัวร่วมด้วย และมักจะต้องรักษาระบบการควบคุมน้ำในร่างกายให้เป็นปรกติ โรคจึงจะหาย

• วินิจฉัยได้อย่างไร?
ดูจากประวัติและอาการเป็นหลัก ถ้าสงสัยมีภาวะอื่นร่วมด้วย หรือมีอาการทางระบบประสาท จำเป็นจะต้องตรวจเอกซเรย์สมองเพิ่มเติม ในรายที่เป็นมานานหรือมาตรวจขณะที่กำลังมีอาการ การตรวจการได้ยินแบบละเอียด (Audiogram)
หากพบว่ามีการได้ยินเสียงในความถี่ต่ำลดลงก็จะช่วยในการวินิจฉัยได้มากขึ้น

• ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างเวลามีอาการ? 
ขณะมีอาการบ้านหมุนรุนแรง ควรนอนพักให้ศีรษะอยู่นิ่งๆ ให้นานที่สุด เพราะการขยับศีรษะจะทำให้อาการเป็นมากขึ้นได้ การทานยาแก้อาเจียนหรือยาลดอาการเวียนศีรษะก็ช่วยได้มากเช่นกัน

• จะมีทางรักษาให้หายขาดหรือไม่ และต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
ลักษณะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะเป็นๆหายๆ บางราย 2-3 ปี มีอาการหรือบางคนเป็นเกือบทุกเดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความดันที่เพิ่มในท่อครึ่งวงกลม และปัจจัยกระตุ้นต่างๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

1. สูตรอาหารเฉพาะสำหรับน้ำในหูไม่เท่ากัน เนื่องจากเลือดและของเหลวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเชื่อมต่อและมีการแลกเปลี่ยนกัน อาหารและปริมาณเกลือแร่ที่เราจึงมีผลกับความดันของน้ำในช่องหู

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีปริมาณเกลือและน้ำตาลมาก เช่น อาหารที่ผ่านการหมัก,ดอง, อาหารกระป๋อง
อาหารที่มีผงชูรส หรือสารปรุงแต่งมาก เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 
อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่น กาแฟ ชา ชาเขียว น้ำอัดลม 
สุรา เบียร์ แอลกอฮอล์

2. การใช้ยาในกลุ่มแก้เวียนศีรษะ เช่น ยาแก้เมารถ หรือยาในกลุ่มใหม่ที่ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงหรือง่วงซึม ทานช่วงที่มีอาการในสัปดาห์แรกจะได้ผลดี 
3.
ในรายที่เป็นเรื้อรังและไม่ได้ผลจากการคุมอาหารหรือใช้ยา และกลุ่มที่มีอาการได้ยินมีปัญหา การผ่าตัดเพื่อเอาครึ่งวงกลมในส่วนที่มีปัญหาออก (Endolymphaticsac Surgery) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้าย

   ต้องการสมุนไพร ใช้สมุนไพร ชุดบ้านหมุน ๑๐๒ ของ หมอสิงห์ ปรับและแก้ไข คลิ๊กเลยครับ

(3.) สมองในส่วนการทรงตัวขาดเลือดเป็น ๆ หาย ๆ (Vertebro-basilar Insufficience) 

อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หูชั้นในส่วนที่เป็นครึ่งวงกลมทำหน้าที่รับการทรงตัว จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังก้านสมอง (Brainstem) และสมองน้อยด้านหลัง (Cerebellum) ดังนั้นพยาธิสภาพอะไรก็ตาม เช่น สมองขาดเลือด สมองอักเสบบริเวณดังกล่าวก็จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกหมุน โคลงเคลงได้ สำหรับผู้ป่วยรายใดก็ตาม
ถ้ามีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ตาเห็นภาพซ้อนเห็นคนเป็นสองหัว พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง แขนขาอ่อนแรงข้างเดียว หรือสองข้างมีอาการเดินเซจะล้มโดยที่ขายังมีแรงดี บ่งบอกว่าอาการบ้านหมุนจะต้องมาจากรอยโรคในระบบประสาทแน่นอน ส่วนใหญ่อาการจะเกิดเป็นนาทีแล้วก็จะดีขึ้น

• ผู้ป่วยมักจะมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดมาก่อน ได้แก่ เบาหวาน, ความดัน, โลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, สูบบุหรี่จัด และอายุมาก

• ทำไมต้องแยกว่าสาเหตุอยู่ที่หูหรือสมอง? 
เพราะการรักษารวมไปถึงการพยากรณ์โรคต่างกันอย่างสิ้นเชิง โรคของหลอดเลือดสมองจำเป็นต้องได้ยาป้องกันไม่ให้เส้นเลือดตีบหรืออุดตัน โดยใช้ยาในกลุ่มยาต้านเกร็ดเลือดหรือต้านการแข็งตัวของเลือด ควบคู่ไปกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด มิฉะนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ จะเป็นอัมพาทย์....

   ต้องการสมุนไพร ใช้สมุนไพร ชุดบ้านหมุน ๑๐๓ ของ หมอสิงห์ ปรับและแก้ไข คลิ๊กเลยครับ

(4.) หูชั้นในอักเสบ(Labyrinthitis)เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ(Vestibular neuronitis)

        หูชั้นใน ประกอบด้วยอวัยวะ 2 ส่วน ดังนี้คือ
1. อวัยวะหอยโข่ง จะมีหน้าที่ควบ
คุมการได้ยิน
2. หลอดกึ่งวง 3 อัน มีหน้าทีควบ
คุมเกี่ยวกับการทรงตัว โดยมีเส้นประสาทเชื่อมต่อกับสมอง  มีเส้นประสาท  แขนงที่เชื่อมระหว่างอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรง
ตัวกับสมอง มีชื่อ ว่า เส้นประสาทการทรงตัว

อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน บ้านหมุนอย่างรุนแรงคล้ายกัน และมักมีสาเหตุและการดูแลรักษาในแนวเดียวกันจากการอักเสบของหูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัว ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว

สาเหตุ

มักจะปวดหูมาก่อน และมีไข้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดโรคทั้ง 2 ชนิดนี้ แต่เนื่องจากพบว่าบางรายเกิดอาการขึ้นหลังจากเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้นเช่น ไข้หวัด ไข้หวัใหญ่ เป็นต้น จึงเชื่อกันว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือติดเชื้อแบคทีเรียจากการเป็นไซนัส

อาการ

      หูชั้นในอักเสบ มักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ด้วยอาการวิงเวียน  บ้านหมุนอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน  อาจเป็นอย่างต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง หรือหลายวัน ผู้ป่วยมักมีอาการหูตึงและมีเสียงดังรบกวนในหูข้างหนึ่งร่วมด้วย บางครั้งอาจต้องนอนพัก ทำงานไม่ได้ในรายที่เป็นแบบรุนแรง

อาการต่างๆ จะค่อยๆ ทุเลาไปได้เอง หลังจากเริ่มมีอาการประมาณ 1 สัปดาห์ แต่เวลาเคลื่อนไหวศีรษะเร็วๆ เช่น  ลุกจากเตียง  ล้มตัวลงนอน ก้มหรือเงยศีรษะ หรือหันหน้าเร็วๆ  อาจมีอาการบ้านหมุนชั่วประเดี๋ยวได้ แต่ไม่เกิน 1-2 นาที อาจมีอาการเป็นๆหายๆ นานหลายสัปดาห์ แล้วจะหายไปเอง ส่วนอาการหูตึงอาจเป็นอยู่อย่างถาวรหรือค่อยๆ ทุเลาจนหายเป็นปกติได้

ส่วนเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ จะไม่มีอาการหูตึงและเสียงดังรบกวนในหูร่วมด้วย แต่อาการอย่างอื่นมีแบบเดียวกับหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน

    ต้องการสมุนไพร ใช้สมุนไพร ชุดบ้านหมุน ๑๐๔ ของ หมอสิงห์ ปรับและแก้ไขอาการ คลิ๊กเลยครับ




คลิ๊กนี้มีความหมาย
 

 

 

 
 
 

 

Copyright (c) 2006 by Rujipass