GERD โรคกรดไหลย้อน

คุณคือคนอ่านในอีกหลายคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือฝรั่งเรียกว่า heartburn, reflux, gerd  หรืออะไรก็แล้วแต่ คุณคงจะเคยทุลนทุลาย ที่จะดึงคอของตัวเองออก เพราะว่าต้องทนทุกข์กับความปวดแสบของโรคนี้มาแล้วใช่ไหม?
......คุณเคยรับประทานยาแล้ว อาการทุเลาลง แต่กลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม?
.......คุณเคยรับประทานอะไรแล้ว รู้สึกไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยหรือไม่?
……คุณทราบหรือไม่ว่า ยอดขาย ยา antacids ทั้งหมดนั้น มูลค่านับล้านๆ บาทต่อปี..........
          ก่อนอื่นผมต้องบอกกับคุณว่าไม่มี ใครหลอก ที่จะใส่ใจสุขภาพของคุณและได้ดีมากกว่าคุณเอง.....พวกเขาจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ......
ในอดีตที่ผ่านมานั้น โรคแบบนี้ไม่มีหลอกครับ ส่วนใหญ่ เพราะ ทำอาหารรับประทานกันเองในครอบครัว อาหารส่วนใหญ่ก็มาจากธรรมชาติ หรือไม่เราก็ปลูกกันเอง ปลอดสารพิษ เพราะสดจริงๆ หลังจากที่มีการนำอาหารมาถนอมโดยการพาสเจอร์ไรส์ เพื่อให้มีอายุการเก็บไว้ได้นาน (หวังผลทางการค้าเป็นส่วนใหญ่ มิใช่เพื่อสุขภาพแต่อย่างใด ) และใช้วิธีการปรุงอาหารแบบ ฟาสต์ฟู้ด เพื่อให้ขายได้เร็วขึ้น ผนวกกับการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบในยุคปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีพฤติกรรมแบบนั้น ท่านทราบหรือไม่ว่าอาหารที่ ท่านบริโภคในนั้น ทำให้ร่างกายของท่านมีกรดมากเกินไป (acidic body) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท่านมีภาวะกรดไหลย้อน และอีกหลายโรค กระเพาะของท่านมีกรด (HCL)ทีมีคุณภาพน้อยเกินไป แต่ว่าร่างกายของท่านกับเป็นกรด
 
..........ท่านคงจะแปลกใจใช่ไหมครับ! กับคำพูดบทนี้
.......... Stomach Is not acidic enough…….. ……
……….แต่ทำไมเคยได้ยิน แต่กระเพราะของเรามีกรดมากเกินไป ข้อนี้ ผิดอย่างแรงครับ ทำให้เราต้อง รับประทานยาลดกรดตลอดแต่ผลลัพธ์ กับดีขึ้นแค่ชัวคราว และในที่สุดก็ไม่ดีขึ้นเลย……..
ทำไม pH กระทบต่อร่างกายคน
pH นั้นหมายถึง เปอร์เซ็นต์ ของ ไฮโดรเจน ที่มีอยู่ สเกลของ pH เริ่มตั้งแต่ 0 ถึง 14 เลข 7 นั้น หมายถึงเป็นกลาง คือ ไม่เป็นกรดและเป็นด่าง pH ตัวเลขน้อย หมายถึง fees hydrogen ions สูง หรือ เป็นกรดมากนั่นเอง ร่างกายคนเรานั้น ถูกสร้างมาเพื่อดำรงอยู่ในสภาพ pH ประมาณ pH7.4 หรือ คือเป็นด่างหน่อยๆ หรืออยู่ในช่วง pH7.35-pH7.42 (หมายถึงของเลือด) หากอยู่ในช่าง pH7-7.35 หมายถึงร่างกายมีสภาพเป็นกรด หากอยู่ในช่วง pH7.42-pH7.8 ร่างกายอยู่ในสภาพเป็นด่าง หากเกินนี้แล้วจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ส่วนต่างๆของร่างกายมี pH ไม่เท่า ดังนี้
     ปัสสาวะ pH 4.5
     ลำไส้ใหญ่ pH 6.8
     ผิวหนัง pH 5.2
     ลำไส้เล็ก pH 8.0
     น้ำย่อยจากตับอ่อน pH 7.5-8.8
     กระเพาะอาหาร pH 2
สังเกตที่กระเพราะอาหารจะมี pH = 2 ซึ่งมีสภาพความเป็นกรดที่สูงมาก จุดประสงค์ก็เพื่อย่อยโปรตีนให้เล็กลง และ ผิวหนังมี pH = 5.2 เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้
สาเหตุที่ทำให้เราเป็นกรดไหลย้อนนั้น เริ่มต้นจากที่เราชอบทานอาหารชนิดที่ผลลัพธ์ของมันทำให้เกิดกรดในร่างกายสูง เช่น เนื้อสัตว์ น้ำตาล น้ำอัดลมหรือแม้กระทั้งเบียร์ และสุรา ร่างกายเรานั้นสามารถปรับสภาพที่เป็นกรดให้พอดีได้เหมือนกัน โดยใช้สาอาหารจำพวกที่มี Sodium Potassium Magnesium และ Chlolinle จากอาหารจำพวกผัก ผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ และไม้จำพวกออกฝัก แต่ถ้าเหตุการณ์ เช่นนี้ เกิดขึ้นอยู่นาน และตลอดเวลาแล้ว สารอาหารจำพวกให้ด่างเหล่านั้นย่อมหมดไป หรือไม่พออย่างรุนแรง ทำให้ร่างก่ายของเราเป็นกรดได้ เช่น Sulfuric Acid Uric acid phosphate and nitric acid เป็นต้น การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราบริโภคโปรตีนมากเกินไป (เราต้องการประมาณ 40-80 กรัม / วัน เท่านั้น) การที่สารจำพวกด่างหมดไปนี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกรดไหลย้อนจากกระเพาะเราขึ้น

น้ำตาลก็ยังเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายของเราส่งเสริมความเป็นกรดเพิ่มขึ้นอีก คือเมื่อมีกรดมาก ย่อมทำให้ O2 น้อยลง สภาพที่ O2 น้อยลงนี้ ยีสต์และแบคทีเรีย เมื่อกินน้ำตาลแล้วผลลัพท์ของการสันดาปของมัน คือ lactic acid !หรือคือ anaerobic process นั่นเอง มีผลทำให้ อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ ตามกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ และไม่มีกำลัง
วิธีปรับให้เป็นด่างเมื่อร่างกายเป็นกรดทำอย่างใร?
วิธีแรก ร่างกายเราจะเก็บกรดส่วนเกินไปไว้ที่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ตามผังผืด ตามเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ หากมากไปก็จะทำให้เจ็บปวดตามกล้ามเนื้อได้
วิธีต่อมา คือ การปรับสภาพ(buffer)ให้เป็นด่างหน่อยๆ (pH 7.4) ตามที่ควรจะเป็น การ buffering เช่นนี้ มี 3 วิธี คือ
Bicarbonate buffer pH 6.4 ทำให้เกิดกรดไหลย้อนในเวลาต่อมา
Phosphate buffer pH 7.2 ทำให้เกิดนิ่วในเวลาต่อมา
Protein buffer pH 7.4 ทำให้เกิดสารพิษในเวลาต่อมา
เรามาดูวิธีการที่ร่างกายใช้วิธีแบบ Bicarbonate buffer ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้น การ buffer วิธีนี้เกิดขึ้นในกระเพราะของเรา โดยใช้โซเดียมคอรไรด์เป็นสารตั้งต้น และแยกออกเป็น Hydrochloric acid (HCL) สำหรับย่อยอาหาร และ Sodium bicarbonate (NaHCO3)  สาร NaHCO3 จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปสร้างน้ำดี (พัทธะปิตตะ) ในตับแก่ สร้างน้ำย่อย (อพัทธะปิตตะ) ในตับอ่อน และส่งไปเพื่อ buffer กรดต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อ และพังพืดต่อไป หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ย่อมปกติสุขดี แต่ถ้าหากต้องการที่จะ buffer เพิ่มขึ้น เพราะร่างกายเรานั้นเป็นกรดมากเหลือเกิน กระเพราะจะผลิต NaHCO3 มากขึ้นตาม HCL ก็จะมากขึ้นด้วย จะทำให้กระเพาะเรานั้นมีสภาพเป็นกรดสูง นี้แหละ คือจุดเริ่มต้นของการเกิด กรดไหลย้อนขึ้น
แต่ปัจจุบันนี้อาหารที่เราทานนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะพร่อง สารประกอบคลอไรด์ (CL) ซึ่งมีมากใน สาหร่าย น้ำมันมะกอก มะเขือเทศและพร่องเกลือ NaCl เหตุจากความเชื่อจากการโฆษณาและการแพทย์ที่ให้บริโภคแต่น้อย เพราะว่าจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจตามมาได้ แต่ถ้าหากเราบริโภค Sodium และ Potassium ในสัดส่วนที่พอเหมาะแล้ว (สัดส่วน 1:2) ปัญหานี้ย่อมไม่เกิด เราไม่ควรที่จะมากำหนดให้ทาน Sodium แต่น้อย ทำให้เราขาดสารตั้งต้นที่จะนำไปทำการ buffering ได้
ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของการเกิดกรดไหลย้อน คือ ณ ตอนที่กระเพาะเรามีความเป็นกรดสูง แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เราทานยาลดกรด (antacids) มี CaCo3 อยู่เมื่อรวมกับ HCL ซึ่งสูงอยู่ในกระเพาะแล้วจะได้ CaCl2 เกิดขึ้น และถูกส่งไประบบขับถ่ายทิ้งไปทางอุจจาระต่อไป จุดนี้ แหละที่ทำให้เราสูญเสียธาตุ CL ง่ายๆ ออกไป
..........กรด HCL น้อยลง ดีซิจะได้ปวดท้องน้อยลง ถูกต้องไหมครับ ?
………ผิดครับ........
การที่เราใช้วิธีการลดกรดในกระเพาะ วิธีนี้เป็นวิธีที่ผิดครับ เพราะว่าเรากำลังสูญเสียธาตุ CL จากร่างกาย (ซึ่งมาจาก NaCl และสาหร่าย เป็นต้น) ทำให้ NaCl นั้นมี ปริมาณลดลง ไม่เพียงพอที่จะนำไปผลิต NaHCO3 เพื่อที่จะนำไป buffer ร่างกายที่เป็นกรดได้  ผลลัพธ์ ทำให้ร่างกายยิ่งมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น และกระเพาะก็จะขาด หรือพร่อง กรด HCL ทำให้กระเพาะมีสภาพความเป็นกรดไม่เพียงพอ ที่จะย่อยอาหารได้ดี  อันนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนในลำดับต่อไป

กระเพาะเรานั้นต้องการ pH 2-4 ซึ่งจะเป็นสภาวะที่เหมาะสมมาก สำหรับการย่อยอาหาร และป้องกันเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ เมื่อ HCL มีน้อย pH ย่อมไต่ได้ขึ้นสูงมากกว่า 4 ซึ่งจะเป็นสภาวะที่ แบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อ H.pylori เจริญเติบโตได้ดี ขยายจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท่านคงแปลกใจว่าทำไม pH ในกระเพาะที่มีสภาพเป็นกรดสูงเช่นนี้ ทำไม ไม่ทำลายกระเพาะของเรา คำตอบ
             คือ ในกระเพาะนั้นจะมีเมือก (Mucous) เคลือบไว้จึงทำให้กรดเหล่านั้นทำอันตรายต่อผนังไม่ได้....... แต่ H.pylori แบคทีเรียนั้น สามารถที่จะเจาะทะลุเมือกที่เคลือบกระเพราะได้   เป็นเหตุให้เราเป็นแผลในกระเพาะขึ้น  สร้างความเจ็บปวดในเวลาต่อมา แย่งกินอาหารในกระเพาะของเรา สันดาปออกมาเป็นแก๊ส ทำให้เราเรอและอืดอัดท้องเป็นอย่างมาก และยังสามารถที่จะทำลายหูรูด ปิดกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารและกรดน้ำย่อยย้อนขึ้นมาได้ ทำให้เราปวดแสบปวดร้อนในหลอดอาหารยิ่งนัก นี่แหละคือเหตุของมัน ที่เรียกว่ากรดไหลย้อนนี่เอง และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
แล้ววิธีรักษากรดไหลย้อนจะทำอย่างไร ?
            มีวิธีการที่ไม่ยากเลยที่จะทำ ในการที่จะลดหรือขจัดอาการกรดไหลย้อน ให้ออกไปจากร่างกายเราได้อย่างถาวร ไม่ใช่ดีขึ้นชั่วคราว อย่างยาลดกรดทั้งหลายที่ขายอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ คือ
1.      ทำร่างกายของคุณให้เป็นด่างมากขึ้น หรือลดความเป็นกรด ลงนั่นเอง โดยการรับประทานอาหารที่ได้แนะนำไป และงดอาหารแสลง
2.      ดื่มน้ำให้เพียงพอ และน้ำที่ดื่มควรจะเป็นน้ำที่มี pH 9-10 ได้ยิ่งดี แต่ไม่ควนเกิน pH 10.5
3.      ขับถ่ายหรือดีท็อกซ์ ร่างกายของคุณ เพื่อลดความเป็นกรดตามเนื้อเยื่อต่างๆ โดยใช้ชาสมุนไพร อัลคาไลน์เซอร์
4.      ใช้สมุนไพร เพื่อเสริม enzymes anti inflammatory และขจัด H.pylory แบคทีเรีย
5.      บูสความเป็นกรดอย่างเพียงพอในกระเพราะให้เกิดขึ้น หรือเพิ่ม ไฟปริมาณมัดดี ในศาสตร์แพทย์ แผนไทยนั่นเองพร้อมทั้งบำรุงธาตุให้เข้มแข็ง สามารถย่อยอาหารได้ดี ตามปกติต่อไป
 
บทความโดยเภสัชกรและแพทย์แผนไทย นายรุจิภาส ทำดี
 
                                                        
                                                  Back to Top                                                  
                                                
                                                                                    
                                                                            
 
 
 
 

คลิ๊กนี้มีความหมาย

 
 

Copyright (c) 2006 by Rujipass